แคขน แคบิด (เหนือ) แคหัวหมู (กลาง, นครราชสีมา) แคพอง (สุราษฎร์ธานี) แฮงป่า (จันทบุรี) แคลาว (เลย) : Fernandoa adenophylla (Wall ex. G. DON) Steenis ชื่อวงศ์พรรณไม้ : BIGNONIACEAE ไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 5 – 20 เมตร ลำต้นมักคดงอ เรือนยอดไม่เป็นระเบียบ ตามกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล และมีช่องระบายอากาศทั่วไป เปลือกนอกสีเทา ค่อนข้างเรียบ เปลือกในสีขาวใบ: ใบประกอบ ออกตรงข้ามกันหรือเยื้องกันเล็กน้อย ช่อใบ ยาว 20 – 50 เซนติเมตร แต่ละช่อประกอบด้วย ใบย่อยที่มีรูปและขนาดแตกต่างกันไป 1-4 คู่ เช่น รูปรี รูปมน รูปป้อมหรือรูปสีเหลี่ยมขนมเปียกปูน ดอก: ดอกใหญ่และบานเด่นชัด กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน กลีบดอกเชื่อมติดกัน เกสรเพศผู้มี 4 อัน สั้น 2 ยาว 2 รังไข่ติดเหนือวงกลีบ มี 2 ช่อง มีออวุลหลายหน่วยต่อ 1 ช่อง ผล: เป็นแบบผลแห้งแตก แข็ง ผิวเรียบ ยาวและบิดเป็นเกลียว เมล็ดมีปีก การนำไปใช้ประโยนชน์ เนื้อไม้แปรรูปใช้ทำด้ามเครื่องมือเสาเขื่อนเสาต่างๆ ดอกและฝักอ่อนใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริก แต่ต้องทำให้สุกเสียก่อน มีรสขมเล็กน้อย แหล่งที่พบ หลังอาคารเรียน 2 โซน A
Tag: อพ.สธ.2566
ค้างคาว
กระโปกลิง (สระบุรี) : Harpullia arborea (Blanco) Radlk. ชื่อวงศ์พรรณไม้ : SAPINDACEAE ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงได้ถึง 10 เมตร ใบ: เป็นใบประกอบแบบขนนกออก เรียงสลับ ใบย่อย 6-10 ใบ ผิวเกลี้ยง รูปรีแกมขอบขนาน โคนใบเว้าเล็กน้อย ปลายแหลม ก้านใบย่อยยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร ดอก: ออกเป็นช่อ ยาว 15-20 เซนติเมตร มีขนนุ่ม ดอกย่อยขนาดเล็ก สีครีมอมเขียว กลีบดอกมี 4-5 กลีบ เกสรผู้ 5-8 อัน รังไข่มี 2 ช่อง ผล: สีเหลืองส้ม เปลือกหนาคล้ายหนัง ภายในกลวง มีลักษณะเป็น 2 พู เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดค่อนข้างกลม สีดำมัน ขนาด 0.5-0.8 เซนติเมตร การนำไปใช้ประโยนชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับได้ดี แหล่งที่พบ หน้าอาคารเรียน 4 (ศูนย์การศึกษาพิเศษ) โซน D
มะเขือเปราะ
มะเขือขัยคำ มะเขือคางกบ มะเขือจาน มะเขือแจ้ มะเขือแจ้ดิน มะเขือดำ (ภาคเหนือ), มะเขือหืน (ภาคอีสาน), มะเขือขื่น มะเขือเสวย (ภาคกลาง), เขือพา เขือหิน (ภาคใต้), มั่งคอเก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หวงกั่วเชี๋ย หวงสุ่ยเชี๋ย (จีนกลาง) : Solanum virginianum L. ชื่อวงศ์พรรณไม้ : SOLANACEAE ต้นมะเขือเปราะ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย จัดเป็นไม้พุ่ม ที่มีความสูงของต้นประมาณ 2-4 ฟุต มีอายุได้หลายฤดูกาล ใบมะเขือเปราะ ใบมีขนาดใหญ่ ออกเรียงตัวแบบสลับดอกมะเขือเปราะ ออกดอกเดี่ยว ดอกมีขนาดใหญ่ เป็นสีม่วงหรือสีขาว ผลมะเขือเปราะ ลักษณะของผลมีรูปร่างกลมแบนหรือเป็นรูปไข่ ผลเป็นสีขาวอมเขียว และอาจเป็นสีขาว สีเขียว สีเหลือง หรือสีม่วง ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก ผลเมื่อแก่แล้วจะมีสีเหลือง ส่วนเนื้อในผลเป็นสีเขียวเป็นเมือก มีรสขื่น การนำไปใช้ประโยนชน์ ผล : ผลมะเขือเปราะช่วยลดไข้ ลดการอักเสบ ลดความดันเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ กระตุ้นการเผาผลาญกระตุ้นการขับถ่าย ช่วยขับพยาธิ รักษาเบาหวาน ต้านมะเร็ง และช่วยบำรุงหัวใจได้ ใบ : นำมาขยำแล้วพอกบริเวณแผล จะช่วยห้ามเลือดและรักษาแผลให้หายไวขึ้น และหากนำใบสดมาเคี้ยวจะช่วยบรรเทาอาการเหงือกอักเสบได้ นอกจากนี้การนำใบมะเขือเปราะมาต้มแล้วดื่มยังช่วยแก้อาการร้อนในและช่วยขับปัสสาวะได้ดี แถมยังนำมาต้มอาบแก้บรรเทาอาการคันตามผิวหนังได้ด้วย ราก : นำรากมะเขือเปราะมาต้มดื่มช่วยขับปัสสาวะ บรรเทาอาการไอ แก้อาการอักเสบในลำคอ และแก้โรคหอบหืดได้ หรือหากนำมาเคี้ยวยังช่วยบรรเทาอาการเหงือกบวม เหงือกอักเสบ และลดอาการปวดฟันได้อีกด้วย
มะเขือส้ม
มะเขือเครือ (เหนือ) มะเขือปู (พิษณุโลก) : Lycopersicum esculentum Mill ชื่อวงศ์พรรณไม้ : Solanaceae ต้น : ลำต้นมีความสูงประมาณ 1 – 2 เมตร ล้มง่าย แต่ส่วนที่แตะลงดินจะแตกรากได้ ลำต้นมีขนอ่อนปกคลุม ใบ : ใบออกเป็นใบรวม มีใบย่อยเรียงสลับกันเป็นรูปคล้ายขนนก ริมขอบใบหยักเว้าลึก หรือหยักเป็นฟันเลื่อย ดอก : ดอกออกเป็นช่อออกตามง่ามใบ เป็นดอกขนาดเล็ก กลีบดอกเป็นสีเหลืองเชื่อมติดกันเป็นหลอด ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมรี กลมแบน หรือกลมใหญ่ ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่จะมีสีแดง เมล็ด : เมล็ดมีขนาดเล็กเป็นมีจำนวนมาก การนำไปใช้ประโยนชน์ ใช้ใบสด เป็นยาทาหรือพอกแก้ผิวหนังถูกแดดเผา ผล แก้กระหายน้ำ เป็นยาระบาย อ่อน ๆ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยบำรุงและกระตุ้นกระเพาะ อาหาร ใช้รากสด แก้ปวดฟัน ข้อมูลจากภูมิปัญญาไทย : ใช้ ผลสด นำมารับประทาน ปรุงอาหาร แก้กระหายน้ำ ส่วนที่นำมาทำอาหารได้คือผลสุกที่มีสีสันส้ม แดง หรือบางท้องถิ่นก็นิยมผลเขียวที่ไม่สุกด้วยเช่นกัน สามารถนำมาเป็นส่วนประกอบอาหารได้หลายชนิดแทนมะเขือเทศได้เลย เช่น น้ำพริกอ่อง แกงส้ม ต้มยำ ส้มตำ
กระเจี๊ยบเขียว
กระเจี๊ยบขาว มะเขือมอญ มะเขือพม่า มะเขือทวาย มะเขือละโว้ ถั่วส่าย : Abelmoschus esculentus (L.) Moench. ชื่อวงศ์พรรณไม้ : Malvaceae ต้นกระเจี๊ยบเขียว จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุประมาณ 1 ปี มีความสูงประมาณ 0.5-2.4 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีสีเขียว แต่บางครั้งก็มีจุดประม่วง ตามลำต้นจะมีขนอ่อนหยาบ ๆ ขึ้นปกคลุม เช่นเดียวกับใบและผล เจริญเติบโตได้ดีในอากาศกึ่งร้อน หรือที่อุณหภูมิระหว่าง 18-35 องศาเซลเซียส ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด ใบกระเจี๊ยบเขียว มีใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ลักษณะของใบคล้ายรูปฝ่ามือเรียงสลับกัน ใบมักเว้าเป็น 3 แฉก มีความกว้างประมาณ 10-30 เซนติเมตร ปลายใบหยักแหลม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ มีเส้นใบออกจากโคนใบ 3-7 เส้น ใบมีขนหยาบ ก้านใบยาว ดอกกระเจี๊ยบเขียว มีดอกสีเหลืองอ่อน ที่โคนกลีบดอกด้านในจะมีสีม่วงออกแดงเข้ม รูปไข่กลับหรือค่อนข้างกลม ออกดอกตามง่ามใบ มีริ้วประดับเป็นเส้นสีเขียวประมาณ 8-10 เส้น เรียงเป็นวงรอบโคนกลีบเลี้ยง กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ และกลีบดอก 5 กลีบ ดอกมีเกสรตัวผู้จำนวนมาก มีก้านชูอับเรณูรวมกันลักษณะเป็นหลอดยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตรหุ้มเกสรตัวเมียไว้ อับเรณูเล็กจำนวนมากติดอยู่รอบหลอด ก้านเกสรตัวเมียมีลักษณะเรียวยาว ปลายแยกเป็น 5 แฉก ยอดเกสรตัวเมียเป็นแผ่นกลมมีขนาดเล็กสีม่วงแดง ยื่นพ้นปากหลอดดอก ผลกระเจี๊ยบเขียว หรือ ฝักกระเจี๊ยบเขียว ผลมีลักษณะเป็นฝัก โดยฝักคล้ายกับนิ้วมือผู้หญิง ฝักมีสีเขียวทรงเรียวยาว มักโค้งเล็กน้อย ปลายฝักแหลมเป็นจีบ ผิวฝักมีเหลี่ยมเป็นสัน โดยฝักมีสันเป็นเหลี่ยมตามยาวอยู่ 5 เหลี่ยม ตามฝักจะมีขนอ่อน ๆ อยู่ทั่วฝัก ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ในฝักมีน้ำเมือกข้นเหนียวอยู่มาก และมีเมล็ดลักษณะกลมอยู่มาก ขนาดประมาณ 3-6 มิลลิเมตร ฝักอ่อนมีรสหวานกรอบอร่อย ส่วนฝักแก่จะมีเนื้อเหนียว ไม่เป็นที่นิยมในการรับประทาน การนำไปใช้ประโยนชน์ 1. ฝักอ่อนหรือผลอ่อนใช้เป็นผักจิ้มรับประทาน โดยนำมาต้มให้สุกหรือย่างไฟก่อน หรือนำมาใช้ทำแกงต่าง ๆ เช่น แกงส้ม แกงเลียง แกงจืด ใช้ใส่ในยำต่าง ๆ ใช้ชุบแป้งทอด ทำเป็นสลัดหรือซุปก็ได้ 2. เมนูกระเจี๊ยบเขียว เช่น แกงส้มกระเจี๊ยบเขียว แกงเลียงกระเจี๊ยบเขียว แกงจืดกระเจี๊ยบเขียวยัดไส้ แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวผัดผงกะหรี่ ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบผัดขิงอ่อน ห่อหมกกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบต้มกะทิปลาสลิด ยำกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด สลัดกระเจี๊ยบเขียว ชากระเจี๊ยบเขียว เป็นต้น 3. สำหรับชาวอียิปต์มักใช้ผลกระเจี๊ยบรับประทานร่วมกับเนื้อสัตว์ หรือนำมาใช้ในการปรุงสตูว์เนื้อน้ำข้น สตูว์ผัก หรือนำไปดอง ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกาทางตอนใต้จะใช้ผลอ่อนนำมาต้มเป็นสตูว์กับมะเขือเทศที่เรียกว่า “กัมโบ้” หรือทางตอนใต้ของอินเดียจะนำผลกระเจี๊ยบมาผัดหรือใส่ในซอสข้น ส่วนชาวฟิลิปปินส์จะใช้กินเป็นผักสดและนำมาย่างกิน และชาวญี่ปุ่นจะนำมาชุบแป้งทอดกินกับซีอิ้ว 4. ดอกอ่อนและตาดอกสามารถนำมารับประทานได้เช่นกัน 5. รากกระเจี๊ยบสามารถนำมารับประทานได้ แต่จะค่อนข้างเหนียวและไม่เป็นที่นิยม 6. แป้งจากเมล็ดแก่เมื่อนำมาบดสามารถนำมาใช้ทำเป็นขนมปังหรือทำเป็นเต้าหู้ได้ 7. ใบตากแห้งนำมาป่นเป็นผงใช้โรยอาหารและช่วยชูรสชาติอาหารได้ 8. ฝักที่นำมาตากแห้งแล้ว สามารถนำมาใช้ทำเป็นชาไว้ชงดื่มได้ 9. เมล็ดกระเจี๊ยบนำมาคั่วแล้วบดสามารถนำมาใช้แทนเมล็ดกาแฟได้ หรือนำใช้ในการแต่งกลิ่นกาแฟ 10. ใบกระเจี๊ยบนำมาใช้เป็นอาหารวัวหรือใช้เลี้ยงวัวได้ 11. กากเมล็ดมีโปรตีนมาก เหมาะสำหรับใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ 12. ในประเทศอินเดียมีการใช้เมล็ดกระเจี๊ยบเพื่อไล่ผีเสื้อเจาะผ้า 13. ในประเทศอินเดีย โรงงานผลิตน้ำตาลบางแห่งมีการใช้เมือกจากต้นนำมาใช้ในกระบวนการทำให้น้ำอ้อยสะอาด 14. เปลือกต้นกระเจี๊ยบ แม้จะไม่เหนียวนักแต่ก็สามารถนำมาใช้ทอกระสอบ ทำเชือก เชือกตกปลา ตาข่ายดักสัตว์ ใช้ถักทอเป็นผ้าได้ หรือทำเป็นกระดาษ ลังกระดาษก็ได้ 15. เมือกจากผลกระเจี๊ยบสามารถนำมาใช้เคลือบกระดาษให้มันได้ 16. กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ตลอดปี จึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับเกษตรกรไทย เนื่องจากต่างประเทศมีการสั่งซื้อกระเจี๊ยบของไทยปีละหลายล้านบาท โดยมีบริษัทที่ทำโครงการปลูกกระเจี๊ยบเขียวอย่างครบวงจรมาร่วมมือกับเกษตรกรไทยในหลายพื้นที่ช่วยกันปลูกเพื่อส่งออก 17. สำหรับในต่างประเทศมีการนำกระเจี๊ยบเขียวไปผลิตแปรรูปได้อย่างหลากหลาย เช่น ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ทำเป็นอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง หรืออาหารสำเร็จรูป เช่น กระเจี๊ยบเขียวอบแห้ง หรือนำไปใช้ในอุตสาหกรรมขนมหวาน รวมไปถึงอุตสาหกรรมเครื่องหอม อุตสาหกรรมยา เช่น ทำเป็นยาผงและแคปซูล
ตะขบป่า
ตะขบป่า ตานเสี้ยน (กลาง) มะเกว๋นป่า (เหนือ) : Flacourtia indica (Burm. f.) Merr. ชื่อวงศ์พรรณไม้ : FLACOURTIACEAE ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 7-10 เมตร เปลือกสีน้ำตาล กิ่งก้านอ่อนห้อยลู่ลง ใบ: เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ มีรูปร่างหลายแบบ ทั้งรูปขอบขนานรี รูปไข่ หรือรูปไข่กลับ ดอก: ออกเป็นช่อออกที่ปลายยอด มีดอกย่อย 4-6 ดอก ดอกเพศผู้และเพศเมียแยกกันอยู่คนละต้น เกสรตัวผู้มีจำนวนมาก ดอกเพศเมียมีกลีบเลี้ยงคล้ายดอกเพศผู้ ออกดอกเดือน มีนาคม – เมษายน ผล: ผลสดแบบ berry รูปกลมรี ผลสุกมีสีแดงและดำ การนำไปใช้ประโยนชน์ รากแก้ตานขโมย แก้ท้องร่วง ลำต้นแก้ประดงผื่นคันตามตัว ใบปรุงยาสำหรับสตรีหลังคลอด แหล่งที่พบ ทางขึ้นศาลพระภูมิ ด้านโรงแรมสวนดุสิตเพลส 2 โซน C
ข่อย
ข่อย กักไม้ฝอย (เหนือ) ส้มพอ (เลย, เหนือ) : Streblus asper Lour. ชื่อวงศ์พรรณไม้ : MORACEAE ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงไม่เกิน10 เมตร เปลือกขรุขระ สีเทาอมขาว ใบ: เป็นใบเดี่ยว รูปไข่กลับหรือรูปรี กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 4-8 เซนติเมตร โคนสอบ ขอบใบหยัก แผ่นใบสีเขียว สากมือ เนื้อใบหนาค่อนข้างกรอบ ดอก: สีเหลืองแกมเขียว ออกเป็นช่อสั้นที่ซอกใบ ดอกย่อยขนาดเล็กมาก แยกเพศ ดอกเพศผู้อยู่รวมกันเป็นช่อกลม ก้านดอกสั้น ดอกเพศเมียมีจำนวน 2 ดอกต่อช่อ ก้านดอกยาว ผล: เป็นผลสด ทรงกลม เมื่อสุกสีเหลือง ฉ่ำน้ำ มีกลีบรองดอกสีเขียวหุ้มผล การนำไปใช้ประโยชน์ กิ่งทุบใช้แทนแปรงสีฟันได้ เปลือกต้นแก้โรคในช่องปาก ใบเป็นยาระบายอ่อนๆ แหล่งที่พบ หน้าอาคารเรียน1 โซน A ด้านข้างอาคารสมเด็จพระนางเจ้า (อาคาร11) โซน D
แก้ว
แก้ว ตะไหลแก้ว แก้วพริก จ๊าพริก (เหนือ) แก้วลาย (สระบุรี) แก้วขี้ไก่ (ยะลา) แก้วขาว (กลาง) : Murraya paniculata (L.) Jack ชื่อวงศ์พรรณไม้ : RUTACEAE เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ สูง 3-8 เมตร ลำต้นมักคดงอและบิด เปลือกสีขาว แตกเป็นร่องตื้นเล็กๆ ใบ ใบประกอบ เรียงเวียนสลับ มีใบย่อย 3-7 ใบ ติดตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย ใบคู่ล่างมีขนาดเล็กกว่าคู่ที่อยู่เหนือขึ้นไป รูปไข่แกมรี และรูปข้าวหลามตัดเอียง ผิวใบเขียวเข้มเป็นมัน ขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ดอก สีขาว กลิ่นหอม ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือช่อ ช่อละ 2-5 ดอก กลีบรองดอกขนาดเล็ก มี 5 แฉก กลีบดอกมี 5 กลีบ รูปรีหรือรูปขอบขนาน บานกลางคืน ขณะบานกลีบจะม้วนออกด้านนอก กลีบหลุดง่าย เกสรเพศผู้มี 10 อัน ยาว 5 อัน สั้น 5 อัน เรียงสลับเป็นวงกลมล้อมรอบรังไข่ ผล รูปไข่ มีเนื้อเยื้อหุ้ม ยาวไม่เกิน 2 เซนติเมตร ผลแก่ออกสีส้มปนแดง ภายในมี 1-2 เมล็ด การนำไปใช้ประโยนชน์ เนื้อไม้ลายมัน สวยงาม มีน้ำมันในเนื้อไม้ นิยมใช้ทำเครื่องตกแต่งบ้าน ด้ามเครื่องมือ ไม้บรรทัด ด้ามปากกา ซอด้วง ซออู้ ใบปรุงเป็นยาขับระดูที่เรียกว่ายาประสะใบแก้ว และใช้เป็นยาระบายลม แก้จุกเสียแน่นเฟ้อ แหล่งที่พบ ด้านข้างศาลาสารภีคู่ โซน C
กระบก
กระบก กะบก จะบก (กลาง), จำเมาะ (เขมร), ซะอัง (ซอง-ตราด), บก หมากบก (ตะวันออกเฉียงเหนือ), มะมื่น มื่น (เหนือ) : Irvingia malayana Oliv. ex A.W. Benn. ชื่อวงศ์พรรณไม้ : IRVINGIACEAE ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10–30 เมตร ผลัดใบ เปลือกสีเทาอ่อนปนน้ำตาล ค่อนข้างเรียบ เรือนยอดเป็นพุ่มแน่นทึบ ใบ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปมนแกมขอบขนานถึงรูปหอก ผิวใบเกลี้ยง โคนใบมน ปลายใบทู่ถึงแหลม ดอก ดอกช่อขนาดเล็ก สีขาวปนเขียวอ่อน ออกดอกช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ผล ผลทรงกลมรี เมื่อสุกสีเหลืองอมเขียว เมล็ดแข็ง เนื้อในมีรสมัน การนำไปใช้ประโยนชน์ ประโยชน์ ใช้ทำฟืน ถ่าน ซึ่งให้ความร้อนสูง ทำเครื่องมือกสิกรรม และสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในร่ม เนื้อในเมล็ดกินได้ น้ำมันที่ได้จากเนื้อในเมล็ดใช้ทำอาหาร สบู่ และเทียนไข แหล่งที่พบ ด้านหน้าอาคารศูนย์วัฒนธรรม โซน C
กล้วยพัด
กล้วยพัด กล้วยฝรั่ง กล้วยลังกา กล้วยศาสนา (กทม.) : Ravenala madagascariensis Sonn. ชื่อวงศ์พรรณไม้ : STRELITZIACEAE ลักษณะตรง กลม มีข้อสั้นๆ คล้ายตาล สูงถึง 20 เมตรใบ: ใบเดี่ยว ขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายใบกล้วย รูปใบขอบขนาน เรียงเป็นสองทางสลับซ้ายขวาจนถึงยอด ทำให้มีลักษณะคล้ายพัดขนาดใหญ่ ก้านใบยาวและหุ้มลำต้นไว้ ดอก: สีขาว ออกเป็นช่อตามซอกใบ มีใบประดับแข็งเป็นกาบคล้ายรูปเรือหุ้มช่อดอก โดยกาบนี้จะเรียงสลับกันซ้ายขวาเป็นช่อแบนๆ ดอกย่อยเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีหลายดอกในแต่ละใบประดับ ผล: เมล็ดแก่สีน้ำเงินเข้ม ขนาด 0.6-0.8 เซนติเมตร รูปทรงกลม การนำไปใช้ประโยชน์ ใช้เป็นไม้ประดับสวนทั่วไป แหล่งที่พบ ในมหาวิทยาลัย ทางขึ้นศาลาชื่นอารมณ์ด้านข้างอาคารศูนย์สุขาภาพโซน C