ผักคราด หญ้าตุ้มหู, ผักเผ็ด (ภาคเหนือ), ผักตุ้มหู (ภาคใต้), อึ้งฮวยเกี้ย : Acmella oleracea (L.) R.K.Jansen ชื่อวงศ์พรรณไม้ COMPOSITAE 1. ต้น เป็นพืชล้มลุกลำต้นสูง 20 – 30 เซนติเมตร หรือทอดไปตามดินเล็กน้อยแต่ปลายชูขึ้น ลำต้นกลมอวบน้ำ มีสีเขียวม่วงแดงปนเข้ม ลำต้นอ่อนมีขนปกคลุมเล็กน้อย สามารถออกรากตามข้อของต้น 2. ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันรูปสามเหลี่ยมขอบใบหยัก ก้านใบยาว ผิวใบสากมีขนใบกว้าง 3 – 4 เซ็นติเมตร ยาว 3 – 6 เซ็นติเมตร 3. ดอก ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง เป็นช่อกระจุกสีเหลือง ลักษณะกลม ปลายแหลมคล้ายหัวแหวน ก้านดอกยาว ดอกย่อยมี 2 วง วงนอกเป็นตัวเมีย วงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศ 4. ผล เป็นผลแห้ง รูปไข่ การนำไปใช้ประโยนชน์ ใบ แก้ปวดศีรษะ แก้โลหิต เป็นพิษ ดอก ขับน้ำลาย แก้โรคในคอ แก้ปวดฟัน แก้โรคติดอ่างในเด็ก รักษาแผลในปากในคอ แก้โรคลิ้นเป็นอัมพาต เมล็ด เคี้ยวแก้ปากแห้ง ทั้งต้น แก้พิษตานซาง แก้ริดสีดวง แก้ผอมเหลือง แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน ชงดื่ม ขับปัสสาวะ แก้หอบไอ แก้ไอกรน แก้ปวดบวม แก้ไขข้ออักเสบ แก้คันคอ แก้ทอนซิลอักเสบ แก้งูรัด สุนัขกัด พอกแก้พิษปวดบวม ราก ต้มดื่ม เป็นยาถ่าย อมบ้วนปากแก้อักเสบในช่องปาก เคี้ยวแก้ปวดฟัน
Day: June 22, 2025
พลูคาว (ผักคาวตอง)
ผักคาวตอง (ลำปาง, อุดรธานี) คาวทอง (อุตรดิตถ์, มุกดาหาร) ผักก้านตอง (แม่ฮ่องสอน) ผักคาวปลา, ผักเข้าตอง, ผักคาวตอง (ภาคเหนือ) ส่วนทางภาคกลางมักจะนิยมเรียกว่า พลูคาว : Houttuynia cordata Thunb. ชื่อวงศ์พรรณไม้ SAURURACEAE พลูคาวเป็นไม้ล้มลุก อายุ 2 – 4 ปี สูง 15-40 เซนติเมตร ทั้งต้นมีกลิ่นคาวคล้ายกลิ่นคาวปลา ใบเดี่ยว เรียงสลับรูปหัวใจ กว้าง 4-6 เซนติเมตร ยาว 5-8 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 1-3.5 เซนติเมตร ก้านใบส่วนโคนแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น หูใบอยู่ติดกับก้านใบ ดอกช่อออกที่ปลายยอด มีใบประดับสีขาวคล้ายกลีบดอก 4 กลีบ ดอกย่อยจำนวนมากขนาดเล็กสีเหลือง ไม่มีกลีบดอก ผลแห้งแตกได้ การนำไปใช้ประโยนชน์ 1. แพทย์ตามชนบทใช้ใบพลูคาวปรุงเป็นยาแก้กามโรค แก้เข้าข้อออกดอก (หมายถึง โรคซิฟิลิสระยะที่ 2 เชื้อซิฟิลิสจะเข้าไปอยู่ตามต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกายและเข้าไปสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดผื่นขึ้นตามร่างกาย เรียกว่า “ออกดอก” ระยะนี้เป็นระยะที่ติดต่อได้โดยง่าย แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่มีผื่นขึ้น แต่มีอาการปวดเมื่อยตามข้อ จึงเรียกว่า “เข้าข้อ”) โดยนำพลูคาวทั้งต้นมาต้มเคี่ยวจนน้ำงวด แล้วรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว ก่อนอาหารทั้ง 3 มื้อ 2. แก้โรคผิวหนังทุกชนิด แก้น้ำเหลืองเสีย ทำให้น้ำเหลืองแห้ง ให้แผลแห้ง แก้แผลเปื่อย โดยนำพลูคาวทั้งต้นมาต้มเคี่ยวจนน้ำงวด แล้วรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว ก่อนอาหารทั้ง 3 มื้อเช่นกัน 3. แก้โรคเรื้อน มะเร็งคุดทะราด (หมายถึง โรคเรื้อน หรือโรคเรื้อรังที่มีแผลตามผิวหนัง เริ่มจากขึ้นเป็นตุ่มเล็กๆคล้ายหูดขึ้นทั่วตัว แล้วขยายขนาดขึ้นเป็นตุ่มนูนแดง หรือโตคล้ายดอกกะหล่ำปลี ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ในบริเวณใกล้แผลจะอักเสบและบวมโต ในระยะแรกผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการไข้ หากปล่อยทิ้งไว้ ไม่รักษา จะมีการทำลายของผิวหนังและกระดูก ทำให้เกิดความพิการ) โดยนำพลูคาวทั้งต้นมาต้มเคี่ยวจนน้ำงวด แล้วรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว ก่อนอาหารทั้ง 3 มื้อเช่นกัน 4. ขับปัสสาวะ ขับนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ขับระดูขาว (ตกขาว) รักษาฝีหนองในปอด โดยนำพลูคาวทั้งต้น มาต้มในน้ำแค่พอเดือด รับประทานแทนน้ำเปล่า เมื่ออาการดีขึ้น ให้รับประทานน้ำเปล่าเช่นเดิม 5. นิยมให้ผู้หญิงหลังคลอดบุตรรับประทานเป็นอาหารเพื่อเป็นการบำรุงร่างกายและโลหิต
ยูคาลิปตัส
ยูคาลิป (กรุงเทพฯ, กลาง) : Eucalyptus camaldulensis Dehnh. ชื่อวงศ์พรรณไม้ MYRTACEAE ลำต้น: เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูง 24-26 เมตร และอาจสูงถึง 50 เมตร เปลือกมีลักษณะเรียบเป็นมัน มีสีเทาสลับสีขาวและน้ำตาลแดงเป็นบางแห่ง เปลือกนอกจะแตกร่อนเป็นแผ่นหลุดออกจากผิวของลำต้น เมื่อแห้งจะลอกออกง่าย ใบ: ใบเดี่ยว เรียงสลับ ลักษณะเป็นรูปหอก ก้านใบยาว ใบสีเขียวอ่อนทั้งสองด้าน เส้นใบมองเห็นได้ชัด ดอก: ช่อดอกออกที่ซอกใบ แบบซี่ร่มหรือแบบกระจุก ดอกย่อยมี 7- 11 ดอก ก้านช่อดอก ยาว 0.6-1.5 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยเรียว ยาว 0.5-1.2 เซนติเมตร ดอกตูมรูปกลมหรือกรวยกลม ด้านบนเป็นฝาปิดรูปทรงกลม ปลายมีจงอยฝาปิด ร่วงเมื่อดอกบาน ด้านล่างเป็นฐานดอกรูปถ้วย เกสรเพศผู้ มีจำนวนมาก ผล: ขนาดเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร สีเหลือง เมล็ด มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม ผิวนอกแข็ง เมื่อยังอ่อนจะมีสีเขียวและจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่ เมื่อผลแก่ปลายผลจะแยกออก ทำให้เมล็ดที่อยู่ภายในหล่นออกมา การนำไปใช้ประโยนชน์ เนื้อไม้นำมาเผาถ่านซึ่งให้ความร้อนใกล้เคียงกับไม้โกงกาง ใช้ผลิตเยื่อกระดาษ (ไม้อายุ 3-6 ปี) หรือนำไปทำไม้อัด (ไม้อายุ 6-10 ปี) แหล่งที่พบ แนวทางเดินด้านหลังอาคารรักตะกนิษฐ โซน C
มังคุด
มังคุด (กลาง) : Garcinia mangostana L. ชื่อวงศ์พรรณไม้ GUTTIFERAE ต้น: ลำต้นตั้งตรง ไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ผิวลำต้นเรียบทุกส่วนมียางสีเหลือง ใบ: ใบเดี่ยว รูปไข่ ขนาดใหญ่ ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนาค่อนข้างเหนียว ผิวใบมัน ดอก: ต้นตัวผู้กับต้นตัวเมียแยกต้นกัน ดอกเดี่ยว ออกที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลือง แข็งและคงทนอยู่จนกลายเป็นผล กลีบดอกสีชมพูเข้ม ร่วงง่ายผล: ค่อนข้างกลมแบนเล็กน้อย ผลอ่อนสีเหลืองอมเขียว ผิวผลแข็ง ผลสุกสีม่วงดำ ผิวด้านในสีชมพูอมม่วง เปลือกผลหนา ผิวผลนิ่ม ภายในมีเนื้อสีขาว รสหวาน หรือหวานอมเปรี้ยว มีเนื้อใน 5-7 กลีบ ในหนึ่งผลมีเมล็ดใหญ่เพียงหนึ่งเมล็ด การนำไปใช้ประโยนชน์ เปลือกมังคุดใช้เป็นยารักษาอาการท้องเสีย ใช้เปลือกที่ตากแห้งต้มกับน้ำปูนใสหรือฝนกับน้ำดื่มแก้อาการเป็นบิด (ปวดเบ่ง มีมูกและอาจมีเลือดออก) ใช้เปลือกผลแห้งประมาณครึ่งผล (4 กรัม) ย่างไฟให้เกรียมฝนกับน้ำปูนใส่ประมาณครึ่งแก้วดื่มทุกชั่วโมง แหล่งที่พบ ข้างอาคารเรียน1 ตรงข้ามทางเข้าห้องอาหารโฮมเบเกอรี่ โซน A
ตะคร้อป่า
ตะคร้อ (ตะวันออกเฉียงเหนือ) มะเคาะ (เหนือ) ค้อ (กาญจนบุรี, เหนือ) ตะคร้อไข่ (กลาง) คอส้ม (เลย) : Schleichera oleosa (Lour.) Oken ชื่อวงศ์พรรณไม้ SAPINDACEAE ไม้ยืนต้นขนาดกลางสูงถึง 25 เมตร ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 2-4 คู่ ใบย่อยคู่บนขนาดใหญ่กว่าคู่ล่าง รูปไข่หรือรูปไข่แกมรี ปลายใบเรียวแหลม โคนใบไม่สมมาตรถึงทู่ ดอก สีเขียวอ่อนหรือเขียวเแกมเหลือง ออกเป็นช่อห้อยลงจากปลายกิ่งหรือซอกใบ ยาวถึง 20 เซนติเมตร ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบรองดอกรูปไข่ถึงรูปสามเหลี่ยม มี 4-6 กลีบ ไม่มีกลีบดอก เกสรผู้ 5-9 อัน ยาวพ้นกลีบดอก ผล รูปทรงกลมหรือรูปไข่ กว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร สีเขียวสดแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่ ปลายผลเป็นติ่งแหลม มี 1-2 เมล็ด การนำไปใช้ประโยนชน์ เปลือกต้มน้ำดื่ม แก้ฝีหนอง ผลสุกรับประทานมีรสหวานอมเปรี้ยว แหล่งที่พบ สนามเด็กเล่นหน้าอาคารเรียน 7 โซน D
มะค่าแต้
แต้ (ตะวันออกเฉียงเหนือ) มะค่าหนาม (กลาง, เหนือ) มะค่าหยุม (เหนือ) : Sindora siamesis Teijsm. & Miq. ชื่อวงศ์พรรณไม้ LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูงประมาณ 10-15 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม ใบ: เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3-4 คู่ ใบรูปไข่มน ผิวเกลี้ยงมัน ขอบเรียบ ยาวประมาณ 6-9 เซนติเมตร ดอก: ดอกช่อ ออกเป็นพวงโต ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ก้านดอกย่อยยาว 0.2-0.4 เซนติเมตร กลีบรองดอกรูปไข่กว้าง ปลายกลีบมีหนามขนาดเล็ก กลีบดอกยาว 0.7 เซนติเมตร เกสรเพศผู้จำนวน 10 อัน มี 2 อัน ใหญ่กว่าอันอื่น ผล: กลมแบน ฝักเดี่ยว มีหนามแหลมที่ผิวทั่วไป รูปไข่กว้าง โคนเบี้ยวและมักมีติ่งแหลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.5-10 เซนติเมตร ภายในมี 3 เมล็ด เมล็ดมีรูปร่างคล้ายฟันสีน้ำตาลไหม้ มีขั้วโตสีขาวเหลืองเหมือนเหงือกหุ้มฟัน การนำไปใช้ประโยนชน์ ผลรสเบื่อเมา ต้มดื่มถ่ายพยาธิ รักษาโรคผิวหนัง ต้มรมให้หัวริดสีดวงทวารฝ่อ เมล็ดรสเบื่อขม ทำให้ริดสีดวงทวารแห้ง แหล่งที่พบ หน้าอาคารศูนย์วัฒนธรรม โซน C
ชงโค
เสี้ยวดอกแดง (เหนือ) เสี้ยวหวาน (แม่ฮ่องสอน): Bauhinia purpurea L. ชื่อวงศ์พรรณไม้ LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE ไม้ยืนต้น สูงถึง 10 เมตร ผลัดใบช่วงสั้นๆ ใบ: เป็นใบเดี่ยว ออกสลับ รูปมนเกือบกลม แยกเป็น 2 พู ปลายมนกลม กว้าง 8-16 เซนติเมตร ยาว 10-14 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ดอก: ช่อดอกออกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง จำนวน 6-10 ดอก กลีบดอก 5 กลีบ สีชมพูถึงม่วงเข้ม รูปรี กว้างตรงส่วนกลาง เมื่อบานวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ 6-8 เซนติเมตร เกสรเพศผู้ 3 อัน รังไข่มีขน ผล: เป็นฝัก ยาว 20-25 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดกลมมี 10 เมล็ด การนำไปใช้ประโยนชน์ ใบต้มกินรักษาอาการไอ ดอกเป็นยาระบาย ดับพิษไข้ รากต้มกินเป็นยาระบาย ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ดี แหล่งที่พบ หน้าอาคารโรงอาหารและที่จอดรถ (อาคาร12) โซน C